จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เหตุการณ์ปะทะไทย-กัมพูชาที่ชายแดนจ.ศรีสะเกษ : กรณีขัดแย้งการประกาศขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก

วันจันทร์ ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 8:50 น
(ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://dailynews.co.th)

เขมรยิงปืนยั่วไทยอีก
ประธานหอการค้าศรีสะเกษเผย การสู้รบกระทบท่องเที่ยว 50 ล้าน พ่อค้าแม่ค้าใกล้เจ๊ง เพราะปัญหาชายแดนยังไม่สงบ เขมรยิงปืน ค.82 ยั่วยุอีก 2 นัด แต่ไม่มีกระสุนตกฝั่งไทย ทางด้านรัฐบาลนัดถกก่อนไปประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียนที่จาการ์ตา 22 ก.พ. นี้ เน้นเจรจาระดับทวิภาคีไม่มีประเทศที่ 3 “มาร์ค” เผยการหารือของ เสธ.ทบ. กับลูก “ฮุนเซน” แค่ระดับพื้นที่ ไม่ผูกมัดรัฐบาล ขณะที่ “กษิต” ประสานขออินโดฯ ส่งตัวแทนมาสังเกตการณ์กับกองกำลังไทย ส่วนกลาโหมพาผู้ช่วยทูตทหารไปชายแดนดูความเสียหายของชาวบ้าน ฝั่ง พธม.อัดทหาร-รัฐบาลโง่ อาจเสียดินแดน 1.8 แสนตร.กม. ด้านสื่อนอกมองทายาทฮุนเซนขึ้นสู่อำนาจแบบเกาหลีเหนือ
เขมรยิงปืนค.ยั่วยุอีก
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 20 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียม อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ถนนวิหาร หมู่ 13 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทพระวิหาร 7 กม. กองกำลังทหารติดอาวุธจากหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี และทหารพล.ร.6 ได้ตั้งบังเกอร์ชั่วคราว และวางท่อนเหล็กกั้นถนน พร้อมตรึงกำลังตรวจเข้ม ห้ามบุคคลและยานพาหนะที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพผ่านขึ้นไปบนหน้าผามออีแดงเด็ดขาด เนื่องจากเมื่อเวลา 01.00 น. ที่ผ่าน ได้มีเสียงปืน ค.82 ดังขึ้น 1 นัด บริเวณภูมะเขือ ในฝั่งกัมพูชา และเวลา 11.30 น. มีเสียงปืน ค.82 ดังอีก 1 นัด บริเวณปราสาทพระวิหาร ในฝั่งกัมพูชา แต่ไม่มีกระสุนปืนค.มาตกฝั่งไทยแต่อย่างใด จึงไม่มีการยิงตอบโต้กลับไป คาดว่าเป็นการยิงยั่วยุจากทหารกัมพูชา
ส่งตร.กินนอนกับชาวบ้าน
สำหรับในหมู่บ้านภูมิซรอล หมู่ 2 หมู่ 12 และหมู่ 13 ต.เสาธงชัย ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังเร่งซ่อมแซมบ้านเรือน และสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ที่เสียหายจากแรงระเบิดของกระสุนปืนใหญ่ และจรวดทหารกัมพูชา พ.ต.ท.เปียว ทองแก้ว สว.สส.สภ.บึงมะลู กล่าวว่า ขวัญกำลังใจของชาวบ้านเริ่มดีขึ้น เพราะไม่ได้ยินเสียงปืนมา 2 คืนแล้ว แต่ยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์มากนัก มีหลายคนเริ่มมีความเครียดสะสม เพราะได้รับผลกระทบเสียหายเป็นจำนวนมาก ทั้งบ้านเรือน ไร่มันสำปะหลัง สวนยางพารา และสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ ตื่นตกใจจากเสียงระเบิด เตลิดหนีหายไปหมด ตำรวจชุดชุมชนและมวลชนสัมพันธ์ จึงต้องลงพื้นที่กินนอนอยู่กับชาวบ้าน เพื่อปลอบขวัญเพิ่มกำลังใจ
ผลสู้รบเสียหาย 50 ล้าน
ทางด้านนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ประธานหอการค้า จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า จากการปิดอุทยานแห่งชาติพระวิหารที่ผ่านมา จ.ศรีสะเกษ สูญเสียเงินจากการท่องเที่ยวกว่า 50 ล้านบาท ชาวตำบลเสาธงชัยส่วนใหญ่ซึ่งประกอบอาชีพค้าขายอยู่บริเวณหน้าผามออีแดง ต้องรับภาระขาดทุน เพราะต้องกู้เงินธนาคารมาลงทุนค้าขาย ล่าสุดเปิดการท่องเที่ยว “ทะเลป่า ภูผาหมอก” บริเวณหน้าผามออีแดง ชาวบ้านเพิ่งเริ่มต้นค้าขายได้เพียงเดือนกว่า ๆ ลงทุนไปคนละหลายหมื่น ก็เกิดการปะทะกันอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดชายแดนเขาพระวิหาร ต้องปิดตัวโดยปริยาย หลายคนต้องหมดตัวแทบล้มละลาย ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งหน่วยงานไหน
ค้าขายชายแดนเงียบสนิท
ส่วนที่ด่านผ่านแดนถาวร “ช่องสะงำ” ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ ห่างจากปราสาทพระวิหาร ไปทางด้านทิศตะวันตก เลาะเลียบแนวเทือกเขาพนมดงรัก 100 กม. ซึ่งทุกวันอาทิตย์จะมีการเปิดตลาดนัดชายแดน บรรยากาศการค้าวันนี้ เต็มไปด้วยความเงียบเหงา ชาวกัมพูชาข้ามมาซื้อสินค้าในฝั่งไทยน้อยกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ลูกค้าชาวไทยก็ลดหายไปกว่า 80% บรรดาพ่อค้าแม่ค้าต้องนั่งมองหน้ากันทำตาปริบ ๆ ไม่รู้จะขายสินค้าให้ใคร ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก และร้านอาหารกว่า 20 ร้าน ต้องจำใจปิดกิจการชั่วคราว เพราะไม่มีลูกค้า ขณะที่นางกุน เปรียม อายุ 52 ปี ชาวจ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา กล่าวว่า สาเหตุที่ตลาดชายแดนช่องสะงำเงียบเหงา เนื่องมาจากชาวกัมพูชายังผวา และหวาดระแวงในใจว่า อาจได้รับอันตรายต่อร่างกาย หากข้ามเข้ามาในเขตแดนไทย เพราะการปะทะหรือสู้รบ ระหว่างทหารไทยและกัมพูชา อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้จะมีการเจรจาหยุดยิงก็ไม่ได้เชื่อใจเท่าใดนัก เพราะเห็นเจรจาหลายรอบแล้ว อีกทั้งการปะทะกันที่บริเวณเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 4-6 ก.พ. ที่ผ่านมา ทำให้ชาวกัมพูชาจำนวนมากพากันอพยพหนีภัยกลับไปอยู่ที่ อ.อันลองเวง ซึ่งอยู่ห่างราว 20 กม. เพราะยังจำฝังใจกับสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในอดีต จึงหวาดกลัวภัยสงครามมากกว่าคนไทย
คาดคุยลูกฮุนเซนได้ผล
พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่าตอนนี้สถานการณ์ทั่วไปสงบเรียบร้อยไม่มีปัญหา ภายหลังที่มีการเจรจากับทาง พล.ท.ฮุน มาเน็ต รอง ผบ.ทบ.กัมพูชา ซึ่งคิดว่าการเจรจาน่าจะได้ผล เนื่องจาก พล.ท.ฮุน มาเน็ต เป็นลูกชายของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อเจรจากันได้น่าจะเป็นข้อตกลงที่สัมฤทธิผลในการหยุดยิงของทั้ง 2 ฝ่าย ขอยืนยันว่าการเจรจาครั้งนี้เป็นแค่การเจรจาในพื้นที่ไม่เกี่ยวกับการเจรจาระดับรัฐบาล ไม่มีผลผูกพันต่อการเจรจาระดับรัฐบาลอะไรทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม การเจรจาระดับสูงก็ทำไป ส่วนเราก็เจรจาในระดับพื้นที่ไม่ให้เกิดความรุนแรง ทหารระดับล่างก็คุยกันทุกวัน แต่ถ้าฝ่ายกัมพูชายังไม่สนใจข้อตกลงและยิงมาอีก เราก็ต้องยิงตอบโต้กลับไปเช่นกัน แต่อย่างไรก็หวังว่าการเจรจาครั้งนี้น่าจะประสบผลสำเร็จ เพราะสมเด็จฮุนเซนส่งลูกชายมาเจรจา จึงน่าจะเรียบร้อย
ย้ำ“ดาว์พงษ์”ถกระดับพื้นที่
สำหรับความเคลื่อนไหวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงกรณี พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก เดินทางไปเจรจากรณีที่กัมพูชาเสนอลงนามหยุดยิงถาวร ว่าปกติในพื้นที่จะมีการคุยและประสานงานกัน ถือเป็นเรื่องปกติ แต่ในระดับนโยบายทั้งหมด จะต้องคุยกันในภาพรวม โดยตนจะไปประชุมที่กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อกำหนดท่าทีในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ในวันที่ 22 ก.พ. นี้ ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไปไกลถึงขั้นลงนามหยุดยิงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยังไม่มีอะไรที่บ่งบอกอย่างนั้น การที่ พล.อ.ดาว์พงษ์เดินทางไปเจรจา ก็ถือเป็นเรื่องการบริหารงานในพื้นที่ปกติ เมื่อถามว่าปัญหาที่ห่วงกันคือ ถ้ามีการลงนามหยุดยิงถาวร อาจเกิดปัญหากับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วย อาจกลายเป็นว่ากัมพูชาจะขึ้นทะเบียนได้ง่ายขึ้น นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าตนไม่ได้คุยกับผู้อำนวยการยูเนสโก โดยบอกว่าปัญหาตัวปราสาทที่มีทหารเป็นเรื่องที่ผิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และหลักของมรดกโลก โดยพื้นที่ที่ยังมีปัญหา 4.6 ตารางกิโลเมตร ทางยูเนสโกหรือใครต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ ทั้งในเรื่องของการวางกำลัง เพราะเป็นเรื่องความละเอียดอ่อนที่เป็นข้อพิพาท และเราต้องปกป้องอธิปไตย ต่อคำถามว่า ในส่วนประธานอาเซียนสนับสนุนการลงนามของทั้งสองฝ่าย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่ามีคำพูดชัดเจนหรือเปล่า แต่เท่าที่ทราบคือ เขาต้องการให้สามารถบรรลุข้อตกลงตามเจตนารมณ์ที่คุยกันไว้ที่สหประชาชาติว่าควรจะมีการหยุดยิง
ประชุมก่อนไปจาการ์ตา
ส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อเวลา 13.00 น. วันเดียวกัน นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับนายอภิสิทธิ์ รวมทั้งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดท่าทีของไทยต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ก่อนจะมีการประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ในวันที่ 22 ก.พ. 54 ว่าการไปประชุมที่กรุงจาการ์ตา ตนจะไปยืนยันความพร้อมอย่างยิ่งของฝ่ายไทยในการที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่กับกัมพูชา โดยเฉพาะเจบีซีที่มีนายอัษฎา ชัยนาม ประธานคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย และในระดับคณะกรรม การชายแดนทั่วไป (จีบีซี) ที่มีพล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้า และในระดับคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (อาร์บีซี) ซึ่งมีแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นหัวหน้า “เราจะถือโอกาสนี้ชี้แจงต่อที่ประชุมอาเซียนด้วยว่า เรื่องของเจบีซี จีบีซี และอาร์บีซี โดยองค์รวมที่ผ่านมานั้น ไม่ได้นิ่งเฉยหรือคงที่ แต่มีความคืบหน้าต่าง ๆ มาโดยตลอด ฉะนั้นอยู่ในวิสัยที่จะดำเนินการต่อไปได้ตามเจตนารมณ์ของคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติและเป็นความประสงค์ของประเทศไทยด้วย ซึ่งโอกาสนี้นายอัษฎาได้มีหนังสือ ไปถึงหัวหน้าคณะเจรจาของฝ่ายกัมพูชาแล้ว ขอเชิญให้มาร่วมประชุมเจบีซีที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการยืนยันที่กระผมได้แจ้งและได้รับความเห็นชอบในหลักการจากนาย ฮอร์นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศ และรองนายกรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ในการประชุมเจบีซีที่เมืองเสียมราฐ เมื่อวันที่ 4 ก.พ. ที่ผ่านมา”
ขออินโดฯมาสังเกตการณ์
นายกษิตกล่าวอีกว่า ส่วนในกรอบของจีบีซีนั้น จะมีหนังสือจากรมว.กลาโหมของไทยไปถึงพล.อ.เตีย บัน รมว.กลาโหมกัมพูชา เพื่อขอให้ฝ่ายกัมพูชาจัดการประชุมจีบีซี เพราะถึงกำหนดที่เขาจะเป็นเจ้าภาพอยู่แล้ว สำหรับเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนที่มีข่าวการพบปะของเสนาธิการทหารบกของไทยกับฝ่ายกัมพูชานั้น ขอยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการเจรจาแต่เป็นการพูดจาปรึกษาหารือเท่านั้น อย่างไรก็ตามไทยจะเสนอขอให้รัฐบาลอินโดนีเซีย ส่งผู้สังเกตการณ์มาอยู่กับกองกำลังของฝ่ายไทยตรงบริเวณเขตแดนที่มีการปะทะกัน เพื่อจะได้มาเป็นสักขีพยานได้ว่าเราไม่เคยและไม่ได้มีความประสงค์ใด ๆ ที่จะก่อให้มีการสู้รบและไม่เคยเป็นฝ่ายยิงก่อน สำหรับการที่จะมีตัวแทนของรัฐบาลอินโดนีเซียมาเป็นผู้สังเกตการณ์นั้น เพื่อให้เกิดความมั่นใจจะเป็นการหยุดยิงที่จริงจัง พร้อมกันนี้ไทยพร้อมให้อาเซียน โดยประธานอาเซียนเป็นพี่เลี้ยง ในการที่จะให้กระบวนการเจรจาสองฝ่ายมีความคืบหน้าไปได้
พาทูตทหารไปชายแดน
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 21 ก.พ. เวลา 08.30 น. กระทรวงกลาโหมจะนำคณะผู้ช่วยทูตทหาร 17 ประเทศไปยังชายแดนศรีสะเกษ แต่ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่สู้รบ แต่จะเข้าไปดูพื้นที่โดยรอบบริเวณว่ามีอะไรเกิดขึ้น โดยเฉพาะไปดูฝ่ายพลเรือนทั่วไป ว่าได้รับความเสียหายอย่างไร โดยเฉพาะบ้านเรือนและโรงเรียนที่ถูกกระสุนปืนใหญ่ได้รับความเสียหาย ผู้สื่อข่าวถามว่า หวังว่าทางกัมพูชาจะไม่ล้มโต๊ะในการเจรจา นายกษิตกล่าวว่า ไม่ได้หวังอะไรทั้งสิ้น เราต้องมีความหวังที่ดี เพราะประกาศไปแล้ว อยากให้มีสันติภาพ อยากให้มีการหยุดยิง เพราะการสู้รบไม่ได้แก้ปัญหา มันต้องกลับมาสู่การเจรจา ซึ่งเจบีซีเป็นการเจรจาว่าด้วยเรื่องเขตแดน โดยไทยเสนอไว้ในวันที่ 27 ก.พ. โดยก่อนหน้านี้ เขาเคยตอบปฏิเสธและเลื่อนออกไป แต่เขายังไม่ได้ตอบมา ส่วนจีบีซีเป็นเรื่องความมั่นคงปลอดภัย โดยเฉพาะการหยุดยิง ซึ่งอยู่ที่ฝ่ายเขา ทั้งหมดเราพร้อมและหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะพร้อม
เจรจาสองฝ่ายไม่มีประเทศอื่น
ต่อคำถามที่ว่า การเจรจาของสองฝ่าย จะยอมรับได้แค่ไหนว่าประเทศที่สามจะไม่เข้ามา นายกษิต กล่าวว่า เมื่อเป็นทวิภาคีก็ต้องเป็นทวิภาคี ไม่ใช่เป็นไตรภาคี จะมีแค่สองฝ่ายเท่านั้น ไม่มีประเทศอื่น ผลเป็นอย่างไร เราสามารถชี้แจงและรายงานไปที่ประธานอาเซียนได้ และเขาสามารถส่งต่อไปคณะ